มนต์สเน่ห์แห่งวังหลัง
สวัสดีครับ
ทุกๆคน ผมเป็นตัวแทนจากกลุ่มเพื่อนๆในวิชาไทยศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครับ
วันนี้ผมจะมาแบ่งปันและแชร์ข้อมูลดีๆที่เป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆทุกคนได้ชมกันนะครับ
ผมหวังว่าเพื่อนๆจจะได้ประโยชน์จากข้อมูลที่พวกเพื่อนๆของผมตั้งใจทำนะครับ
มาเริ่มดันเลย…
หลายคนอาจจะงงกับคำนี้
“ มนต์เสน่ห์แห่งวังหลัง ” แต่เราจะพามารู้จักกันครับ คำว่า มนต์เสน่ห์
ผมว่าเพื่อนๆคงจะเคยได้ยินคำนี้มาบ้าง และคงรู้อยู่แล้วว่าหมายถึงอะไร แต่ผมจะมาบอกอย่างเป็นทางการอีกที
คำว่า มนต์,มนตร์ เป็นคำนาม
ซึ่งหมายถึง คําศักดิ์สิทธิ์, คําสําหรับสวดเพื่อเป็นสิริมงคล,
คำเสกเป่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างเช่น การสวดมนต์ ร่ายมนตร์
เวทมนตร์นั่นเอง
ส่วนคำว่า
สเน่ห์ ในภาษาไทยเรามี ๒ ความหมาย โดยทั้งสองความหมายล้วนแต่เกี่ยวกับความรัก
ความชอบพอทั้งนั้น มาดูกันที่ความหมายแรก ความหมายแรกหมายถึง
ลักษณะที่ชวนให้รักชวนให้หลงใหล อย่างเช่นสำนวน เสน่ห์ปลายจวัก ซึ่งหมายถึง
เสน่ห์ของผู้หญิงที่เกิดจากฝีมือปรุงอาหาร ทำให้สามีรักและหลง เสน่ห์ ส่วนในความหมายที่สองก็คือ
คุณไสยที่ทำให้ผู้อื่นหลงรักครับ
ดังนั้นจึงสรุปได้คล่าวๆว่า
มนต์เสน่ห์ หมายถึง สิ่งสวยงาม ชวนให้หลงไหล หรือมีสิ่งที่ดึงดูดจนเหมือนตกอยู่ในห้วงของมนตรา
หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ อย่างเดียวกับความหมายที่เพื่อนๆทราบกันแหละครับ
แต่แค่นั้นคงยังไม่พอ เราจะพาไปรู้จักความหมายของวังหลังกัน ตามมาเลย
ความหมายของวังหลัง
วังหลัง
หรืออีกชื่อหนึ่งว่า พระราชวังบวรสถานพิมุข คือ
วังของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ พื้นที่ดังกล่าวนี้มีขอบเขตทางทิศเหนือจรดกำแพงเมืองธนบุรีเดิม
ทางทิศใต้จรดฉางเกลือ เมื่อกล่าวถึง ”พระราชวังหลัง” หรือ ”วังหลัง” มีความหมายในสามลักษณะ
ที่พวกเราได้ค้นคว้ามาคือ
๑.
กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข
เป็นชื่อตำแหน่งที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดเกล้าฯ
สถาปนาให้รองจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามของ วังหน้า
นั่นเอง
๒.
กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข
หรือเรียกว่ากรมพระราชวังหลัง เป็นตำแหน่งของเจ้านายผู้ที่ประทับอยู่บริเวณพระราชวังหลัง
หรือวังหลัง มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
๓.
เป็นชื่อเรียกวังที่ประทับของเจ้านายชั้นสูงที่อยู่ด้านหลังของพระราชวังหลวง
ความเป็นมาของวังหลัง
มาถึงช่วงสำคัญของบทความนี้แล้ว
ทุกคนอาจจะรู้จักวังหลังในฐานะตลาดที่มีร้านอาหารอร่อยมากมาย อยู่ติดริมแม่น้ำ
มีคนมาเยอะแยะ แต่ตอนนี้พวกเราจะพาทุกคนมาทราบประวัติความเป็นมาคล่าวๆของวังหลัง
ว่ามนอดีตพื้นที่ตรงนี้เป็นอะไร
ย้อนกลับไปในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
รัชกาลที่๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าหลานเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ให้เข้ามาดูแลทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา
นั่นคือบริเวณ “สวนลิ้นจี่” เพื่อดูแลความเรียบร้อยปลอดภัยของประชาชน
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างไทยและพม่า นั่นคือศึกสงครามเก้าทัพนั่นเอง
ทางพระเจ้าหลานเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ก็ได้เสด็จไปช่วยในการพระราชสงครามจนได้รับชัยชนะ
ส่งผลให้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเจ้าหลานเธอกรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ขึ้นดำรงตำแหน่ง
กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือ กรมพระราชวังหลัง ต่อมาเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนั้นได้เสด็จทิวงคต
สิริพระชนมายุได้ ๖๑ พรรษา ก็มิได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระองค์ใดอีกเลย
จึงถือว่าเป็นการยกเลิกตำแหน่งวังหลังไปโดยปริยาย ส่งผลให้ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข
เป็นกรมพระราชวังหลังพระองค์สุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในเวลาต่อมา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แบ่งออกเป็น ๔ วัง
คือ พระราชวังที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขอยู่ทางทิศเหนือสุดติดกับปากคลองบางกอกน้อย
ภายหลังหลังเมื่อกรมพระยาบวรสถานพิมุขทิวงคตแล้ว พระอัครชายาคือ เจ้าครอกข้างใน
ได้ประทับอยู่กับเชื้อพระวงศ์
ส่วนอีกสามวังเรียงลงมาทางใต้เป็นที่ประทับของพระโอรสที่เจริญพระชันษาพอควรแล้วทั้งสามพระองค์(เจ้าสามกรม) คือ
-กรมหมื่นนราเทเวศร์ประทับอยู่วังด้านใต้สุดเรียกกันว่า
วังใหญ่
-กรมหมื่นนเรศร์โยธี
ประทับอยู่วังถัดขึ้นมาเรียกว่า วังกลาง
-กรมหมื่นเสนีบริรักษ์ประทับอยู่วังเหนือขึ้นมาเรียกกันว่า
วังน้อย
แต่ภายหลังเมื่อพระโอรสทั้งสามพระองค์ของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขสิ้นพระชนม์
พ.ศ.๒๓๗๘
ก็เหลือแต่เจ้านายผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่จนไม่มีบทบาททางการเมืองใดๆเท่ากับสมัยก่อน
และไม่มีการสถาปนากรมพระราชวังพระองค์ใหม่ขึ้นอีกวังต่างๆจนสุดโทรมลง
จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ ๕)
มีพระราชดำริว่าวังหลังสภาพสุดโทรมมากเก็บไว้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อันใด ประกอบกับขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างโรงพยาบาลช่วยเหลือคนยากจนจึงโปรดเกล้าให้ใช้พื้นที่อย่างวังหลังส่วนหนึ่งไปเป็นโรงพยาบาล
จากนั้นทรงพระราชดำริเรื่องการก่อตั้งโรงพยาบาลถาวรในกรุงเทพฯ
เนื่องจากในครั้งนั้นเกิดอหิวาตกโรคระบาดชุกชุม จึงโปรดเกล้าให้สร้างโรงพยาบาลขึ้น
วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ จึงเป็นที่เรียกกันในเบื้องต้นว่าโรงพยาบาลวังหลัง
ต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่าโรงพยาบาลศิริราช
นอกจากคนไทยในวังจะเข้ามาอยู่อาศัยแล้วในอดีตยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆอีก
นั่นคือ
กลุ่มพระยาราชาเศรษฐีและกลุ่มคนจีนที่อพยพมาจากฝั่งพระนครมาตั้งถิ่นฐานอยู่ทางฝั่งธนบุรี
และนอกจากนี้ยังมีกลุ่มอิสลามเข้ามาอยู่อาศัยมีหลักฐานจากด้านหลังคลองบางกอกน้อยมีส่วนหนึ่งเป็นมัสยิดและที่ฝังศพ
แต่โดยส่วนมากคนที่อยู่อาศัยตรงนั้นก็จะเป็นกลุ่มชาวบ้านที่เป็นคนไทยที่ย้ายฝั่งมาจากฝั่งพระนคร
ต้นรัชกาลที่๖
ราษฎรปลูกสร้างบ้านเรือนในพื้นที่ต่างๆ
ทำหนังสือขอกรรมสิทธิ์ที่ดินต่อกระทรวงนครบาลโดยอ้างการอยู่อาศัยตั้งแต่รุ่นพ่อแม่
จึงทำให้ได้รับที่ดินเป็นมรดกตกทอดมา ดังนั้นจึงมีประชาชนเป็นผู้ถือครองที่ดินบริเวณวังหลังรอบคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
โดยมีโฉนดที่ดินถูกต้องตามกฏหมาย จากนั้นจึงซื้อขายที่ดินกันต่อไป
สืบเนื่องมาจนปัจจุบัน
ตอนนี้ทุกคนพอทราบประวัติคล่าวๆแล้วและหากต้องการไปสัมผัสพื้นที่จริงว่าเป็นยังไง
ยังคงเป็นเหมือนในอดีตมั้ย ทีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ก็สามารถไปได้ง่ายมากๆ
อีกทั้งยังมีร้านอาหารเลื่องชื่อเต็มไปหมด รอให้ทุกคนไปลิ้มลองกัน โดยทำเลอาณาเขตที่ตั้งของวังหลังนั้นตั้งอยู่ที่....
อาณาเขตที่ตั้ง
ปัจจุบันอาณาเขตที่ตั้งของวังหลังอยู่
๕๙/๓ วังหลังศิริราช บางกอกน้อย กรุงเทพมหานครฯ ๑๐๗๐๐
ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่เรียกกันว่าฝั่งธนบุรี
โดยบริเวณใกล้เคียงวังหลังมีสถานที่สำคัญมากมาย อาทิเช่น โรงพยาบาลศิริราช
โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย (โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง) วัดอรุณราชวราราม
วัดระฆังโฆสิตาราม วัดอมรินทราราม
และบริเวณฝั่งตรงข้ามวังหลังก็ยังมีสถานที่สำคัญอาทิเช่น
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามวรมหาวิหาร มหาวิทยาลัยศิลปากร(ท่าพระจันทร์)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์)
เรียกว่ามาครั้งเดียวได้เที่ยวแบบครบครันกันเลยทีเดียว
แต่ถ้าจะให้พูดถึงแลนด์มาร์กที่ใกล้
สังเกตง่าย และสำคัญที่สุดอีกสถานที่นึงนั้นก็คือ
โรงพยาบาลวังหลัง-โรงพยาบาลศิริราช
เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสังกัดคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย เคยเป็นที่ประทับรักษาพระประชวรของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงค์หลายพระองค์
เล่ามาจนถึงขนาดนี้แล้วก็ได้เวลามาดูวัฒนธรรมอละวิถีชีวิต
ที่ส่งผลให้วังหลังเป็นสานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยเองและก็ชาวต่างชาติ
สำหรับหลายๆคนได้มาแล้วก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตบ้างแล้ว
ส่วนคนที่ยังไม่เคยไป เราก็ได้สรุปไว้คร่าวๆดังนี้
วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่ดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว
ปัจจุบันวังหลังหรือย่านวังหลังเป็นแหล่งค้าขายริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ที่อยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราชยาวมาจนถึงวัดระฆังโฆษิตาราม
มีสินค้าหลากหลายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ
รวมไปถึงอาหารการกินอีกมากมายทำให้วังหลังเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาเยี่ยมชมร้านค้าวิถีชีวิตและรวมไปถึงการมาลิ้มลองอาหารร้านดัง
โดยตลาดวังหลังเปิดทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่ ๑๐.๐๐-๑๗.๐๐
น.เนื่องจากวังหลังสามารถเดินทางได้ทั้งทางบกและทางน้ำจึงทำให้สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยี่ยมเยียนสถานที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าปัจจุบันตลาดนี้เป็นที่รู้จักดีของคนวัยทำงาน นักศึกษา
นักเรียน แต่ก็ยังมีบ้านเรือนของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ตั้งแต่อดีตและยังคงอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน
ซึ่งมีทั้งชาวมุสลิมและคนไทยเชื้อสายจีนที่ยังคงอาศัยอยู่และหารายได้โดยการจำหน่ายสินค้าในบริเวณตลาดวังหลัง
แนวโน้มในอนาคต
แนวโน้มในอนาคตของวังหลังก็สามารถเกิดได้ในหลายๆกรณีจากที่พวกเราได้ทำการลงพื้นที่จริง
สอบถามจากพ่อค้าแม่ค้า นักท่องเที่ยว จึงจะแบ่งเป็น ๒ กรณีหลักๆ
(แนวโน้มในอนาคตนี้เป็นเพียงสิ่งที่กลุ่มของผมได้ทำการสอบถาม รวบรวมข้อมูล ค้นคว้า
และคาดคะเนขึ้นเท่านั้น อาจเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้) เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วก็ไปดูกันเลย...
๑.วังหลังที่ยังคงอยู่ โดยแบ่งออกเป็นอีก ๒ ปัจจัยคือ
-
สังคมยุคโซเชียล
เนื่องจากย่านวังหลังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งหนึ่งที่สำคัญทั้งต่อในกลุ่มชาวไทยและชาวต่างชาติ
อีกทั้งยังอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการสัญจรทางน้ำอย่างคึกคัก
โดยผู้สัญจรทางน้ำสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ส่งผลให้ในอนาคตบริเวณตลาดวังหลังและบริเวณรอบๆนั้น อาจมีการปรับตัวของร้านค้าให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน
นั่นคือ “โซเชียล” คำสั้นๆ แต่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนได้ทั้งโลก
ผมว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ มันสามารถรวมคนทั้งโลกเข้าด้วยกัน
สิ่อสารถึงกันง่ายกว่าปลอกกล้วยอีก แล้วดูสิครับสมัยนี้ เวลาไปไหนผู้คนก็มักจะแบ่งปันประสบการณ์ที่พบเจอจากการเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ
และลิ้มลองสิ่งใหม่ๆโดยการถ่ายรูป วิดีโอ หรือข้อความ
เพื่อตอบโจทย์ของสังคมในยุคนี้กันทั้งนั้น ผมว่าปัจจัยนี้ดูเป็นไปได้มากที่สุดและตอนนี้อาจมีการเริ่มเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วด้วยหล่ะครับ
- รัฐสนับสนุนการอนุรักษ์พื้นที่ดั้งเดิม
อีกหนึ่งปัจจัยที่ดูมีความเป็นไปได้ก็คือ
รัฐได้เข้ามามีส่วนช่วยสนับสนุนพื้นที่ เนื่องจากเรื่องที่บูมๆมากๆในช่วง พ.ศ.๒๕๖๐
นั่นก็คือการร่วมเป็นหนึ่งในการเป็นสมาชิกอาเซียน ประเทศต่างๆก็ล้วนต้องการหาเอกลักษณ์อะไรที่เป็นจุดเด่นของประเทศตน
เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวในประเทศนั้นๆ ประเทศไทยของเราก็ไม่น้อยหน้า เพื่อตอบโจทย์ความเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ จึงออกแผนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการค้า
และการท่องเที่ยวของไทย โดยออกนโยบายรณรงค์เที่ยวไทย กินของไทย ซึ่งนโยบายนี้นอกจากจะทำให้เงินในประเทศเกิดการหมุนเวียนแล้วยังสามารถดึงดูดเงินจากต่างประเทศได้อีกด้วย
และถ้าหากต้องการให้คนเข้ามาในประเทศ แต่ประเทศขอบเรากลับไม่มีอะไรที่โดดเด่นพอเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ดังนั้นอีกนโยบายหนึ่งที่สำคัญคือการพัฒนาชุมชน โดยเลือกชุมชนที่ห็นว่าสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นิยมและสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้
โดยทำให้ชุมชนนั้นๆคงความเป็นเอกลักษณ์และเพิ่มความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
-โรงพยาบาลศิริราชอาจมีการซื้อพื้นที่วังหลังเพื่อขยายโรงพยาบาล
จบแล้วครับผม
สำหรับคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ ผมก็อยากเชิญชวนทุกๆคนไปเยี่ยมชมวังหลังกันนะครับ จะไปช้อปปิ้งหรือรับประทานอาหารอร่อยๆก็ได
เพราะพวกเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ยังจะมีวังหลังแบบนี้อีกกรือไม่
จะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงไร ผมไม่อยากให้ทุกคนพลาดโอกาสดีๆแบบนี้นะครับ พวกผมได้ไปมาแล้วยังต้องบอกเลยว่าประทับใจมาก
มีโอกาสก็อยากจะไปอีกเลนครับ อยากให้ทุกคนไปกันนะคร้าบบบบ แล้วจะไม่ผิดหวัง
ขอบคุณสำหรับความสนใจนะครับ สวัสดีครับ
7 girls with 4 little anacondas
บรรณานุกรม
คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. ๒๕๕๗. พิมุขสถานสรรพการพิสิฐ : สรรพ์นิพนธ์
ประวัติศาสตร์ว่าด้วย"วังหลัง" สมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พรินติ้ง
แอนด์พับลิชชิ่ง.
ทัศนา ทัศนมิตร. ๒๕๔๕. “วัง” มรดกกรุงรัตนโกสินทร์.
พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้ากรุ๊ป.
เดลินิวส์. ๒๕๖๐. “พ่อค้า-แม่ค้า...ยุค (จะ) 4.0 เผชิญพิษเศรษฐกิจให้รอดได้.”
[ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา
https://www.dailynews.co.th/article/581611 (๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑)
โรงพยาบาลศิริราช. (๒๕๖๑, ๑๕ กันยายน).
ใน วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. สืบค้นเมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน
MGR online. ๒๕๕๙. “รมว.พม.มอบบ้านมั่นคงให้ชาวตรอกวังหลังฯ พอช.ตั้งเป้าพัฒนาที่อยู่อาศัยคนจน
ชุมชนแออัดทั่วประเทศ 7 แสนหน่วย ใน 10 ปี.” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา
http://www.codi.or.th/new-klong/14514-7-10
(๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑)
kapok. “ตลาดวังหลัง อิ่มจัง ช็อปเพลิน เดินสนุก.” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา
https://travel.kapook.com/view63396.html
(๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑)
สุวิทย์
เมษอินทรี. “ประเทศไทย 4.0 โมเดลเศรษฐกิจใหม่.” [ระบบออนไลน์]. แหล่งที่มา
http://www.drborworn.com/articledetail.asp?id=16223
(๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑)
รายชื่อผู้รับชอบ
นางสาวณัฐพัทร อภัยรัตน์
นายกานต์ พัฒนาศรมศิริ
นางสาวอติญา ปัญญาวัฒนานุกูล
นางสาวชนากานต์ ไทยงาม
นายวสุพล สุนทรอภิชาติ
นางสาวณัชชา จำกัด
นางสาวณัฐชากร ป้อมสุข
นายฐปนรรฆ์ สาริยันต์
นางสาวพิมพ์ชนก เจริญพันธุวงศ์
นางสาววินิตา รัตนคงวิพุธ
นายมณิธน แซ่ฉั่ว
คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

Comments
Post a Comment